GFC ประกาศท็อปฟอร์มโชว์กำไร 9 เดือนแรกพุ่ง 13% ทุบสถิติออลไทม์ไฮประกาศยืนหนึ่งผู้นำให้บริการสำหรับผู้มีบุตรยากแบบครบวงจร
กรุงเทพฯ – บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ หรือ“GFC” ฟอร์มเจ๋ง โชว์งบ 9 เดือนแรกของปี 2566 โกยรายได้รวม 254.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% (YoY) และกวาดกำไรสุทธิ 54.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% (YoY) ประกาศทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากอัตราผู้เข้ารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากพุ่งด้าน CEO “กรพัส อัจฉริยมานีกูล” ส่งสัญญาณบวก โค้งสุดท้ายปีนี้ยังคึกคัก ชี้ดีมานด์ลูกค้าจ่อ ตบเท้าเข้าขอรับคำปรึกษาและรอรับการรักษา อีกเพียบ ตอกย้ำผลงานทั้งปีส่อแววโดดเด่นลุ้นทำนิวไฮ พร้อมเร่งผุด 2 สาขาใหม่ “สาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และคลินิกสาขาอุบลราชธานี”รองรับการให้บริการในปี67 ที่มีแนวโน้มขยายตัวตามเทรนด์อุตสาหกรรม ตลาดผู้มีบุตรยาก
นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) "GFC" เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2566 ( มกราคม – กันยายน ) เติบโตอย่างโดดเด่น ทั้งนี้เป็นผลจากการขับเคลื่อนธุรกิจ ในการเพิ่มศักยภาพการให้บริการเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก ทั้งการเพิ่มจำนวนแพทย์สำหรับรองรับคนไข้ที่เข้ารับการรักษา การจัดเตรียมห้องบริการคนไข้ในช่วงเวลาเข้ามารับบริการ จัดตารางคิวเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้คนไข้ระหว่างเข้ารับบริการ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น แสดงถึงศักยภาพความมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านการให้บริการสำหรับผู้มีบุตรยากแบบครบวงจรในประเทศไทย
จากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของ GFC งวด 9 เดือนแรกปี 2566 โดยกลุ่มบริษัท มีรายได้รวมจากการให้บริการ 254.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.04 ล้านบาท คิดเป็น 28% (YoY) และมีกำไรสุทธิ 54.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.46 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% (YoY) ซึ่งถือเป็นการทำสถิติสูงสุด (ออลไทม์ไฮ)เป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เปิดดำเนินการ ทั้งนี้เนื่องมาจากกลุ่มบริษัทมีการส่งเสริมการขายและทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ฟื้นตัว จึงทำให้จำนวนลูกค้าที่เข้ามารับบริการรักษา ผู้มีบุตรยากมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ผลการดำเนินการไตรมาส 3/2566 (กรกฎาคม-กันยายน 2566) บริษัทฯ มีรายได้รวม 87.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.88 ล้านบาท คิดเป็น 13% (YoY) และมีกำไรสุทธิ 20.59 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯก็ประสบความสำเร็จในการกำไรสู่ระดับทำนิวไฮในไตรมาสดังกล่าวเช่นเดียวกัน ซึ่งตอกย้ำการป็นหุ้น Growth Stock ของ GFC
นายกรพัส CEO “GFC” กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความสำเร็จของ GFC สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวช และเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์ผู้มีปัญหามีบุตรยากมากกว่า 23 ปี ทำให้วันนี้เราได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นจากกลุ่มลูกค้า ในการเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของครอบครัวที่เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยาก เนื่องจากต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมนี้จะวัดกันที่ Success Rate หรือ อัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ที่จะเป็นตัวชี้วัดถึงเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จในการรักษา ซึ่ง GFC ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงกว่าค่าเฉลี่ย
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมช่วงโค้งสุดท้ายปี 2566 ไปจนถึงปี 2567 ภาพรวมของอุตสาหกรรม กลุ่มผู้รักษามีบุตรยากในไทยที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายเร่งผลักดันให้การส่งเสริมการมีบุตรเป็น “วาระแห่งชาติ”เพื่อแก้ปัญหาอัตราการเกิดใหม่ที่ลดลง รวมถึงรัฐบาลส่งเสริมยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ซึ่งช่วยผลักดันให้ ดีมานด์ลูกค้าที่จะเข้ารับการรักษาการมีบุตรยากกับทาง GFC มีแนวโน้มทยอยพุ่งสูงขึ้นประกอบกับคนไทย ในปัจจุบันเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ตอกย้ำการขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม แผนการเปิดให้บริการในโครงการสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และคลินิกสาขาอุบลราชธานีนั้น ยังคงเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดดำเนินการในช่วงปลายไตรมาส 1/2567 หรือต้นไตรมาส 2/2567 และจะเป็นการขยายพื้นที่การให้บริการของกลุ่มบริษัท ได้อย่างครอบคลุมพื้นที่ที่มีศักยภาพทั่วประเทศมากขึ้น
โดยโครงการสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 จะเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของกรุงเทพฯ สู่การยกระดับการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากครอบคลุมแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น อาทิ การเปิดรับลูกค้าต่างประเทศ ห้องวิจัยและห้องปฏิบัติการสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย ห้องประชุมสัมมนาวิชาการทางการแพทย์ ศูนย์ฝึกอบรมนักเทคนิคการแพทย์ภายในของกลุ่มบริษัท (In-house training)เพื่อเป็นการบริหารทรัพยากรบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะที่สาขาอุบลราชธานี เป็นโซนที่มีจำนวนผู้เข้ารับการรักษาสูงไม่ต่างจากกรุงเทพฯ ทำให้ GFC เข้าไปลงทุนเพื่อขยายฐานการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากในพื้นดังกล่าว และในจังหวัดใกล้เคียงนอกจากนี้ยังสามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว และกัมพูชา ฯลฯ ซึ่งทั้ง 2 สาขา นอกจากจะเป็นการรองรับกลุ่มลูกค้าชาวไทยแล้ว ยังเป็นการสามารถรองรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติได้เพิ่มขึ้นด้วย ประกอบกับสาขาพระราม 3 ที่มีศักยภาพความแข็งแกร่งสำหรับรองรับการให้บริการอยู่แล้ว ยิ่งส่งผลให้อัตราการเติบโตของกลุ่มบริษัททั้ง 3 สาขา เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก้าวสู่New S-Curve ที่จะสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคตให้กับGFC